วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สถานที่ท่องเที่ยว สุราษฎร์ธานี 3

เขื่อนรัชชประภา

                          เขื่อนรัชชประภา เป็นเขื่อนเอนกประสงค์ที่สร้างปิดกั้นลำน้ำคลองแสง เกิดเป็นอ่างน้ำขนาดใหญ่ บนสันเขื่อนเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่งดงามของอ่างเก็บน้ำ โดยเฉพาะยามดวงอาทิตย์ตก ภายในอ่างเก็บน้ำมีเกาะมากกว่า 100 เกาะ สามารถล่องเรือชมทัศนียภาพที่สวยงามมาก บริเวณเกาะแก่งต่างฯ มีแพพักซึ่งอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติเขาสก ไว้บริการ และยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจเช่น พายเรือแคนู ตกปลา เที่ยวถ้ำซึ่งจะต้องเดินป่าเข้าไป ระหว่างทางจะได้สัมผัสกับธรรมชาติและความสมบูรณ์ของผืนป่าภาคใต้ ตัวเขื่อนซึ่งอยู่ในความดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ มีสนามกอล์ฟมาตรฐาน 8 หลุม ท่าเรือสำหรับนั่งเรือชมบรรยากาศเหนือเขื่อน และบ้านพัก บริการแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย
ทะเลใน

                   ทะเลใน หรือทะเลสาบกลางภูเขา อยู่บนเกาะแม่เกาะ เป็นปรากฏการทางธรณีวิทยา โดยเกิดจากแอ่งหินปูนที่ยุบตัว ทะเลในมีลักษณะเป็นวงรี กว้าง 250 เมตร ยาว 350 เมตร ลึก 7 เมตร มีเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ มีทิวทัศน์สวยงาม จากจุดชมวิวจะเห็นทัศนียภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจ ของทะเลในสีเขียวมรกต รวมทั้งเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลเปิด ซึ่งโอบรอบด้วยโขดเขา และแมกไม้ปกคลุม

สถานที่ท่องเที่ยว สุราษฎร์ธานี 2

วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร 

                              วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร เป็นที่ประดิษฐานขององค์พระบรมธาตุไชยา ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปูชนียสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมือง และเป็นหนึ่งในสามของโบราณสถานอันศักสิทธิ์ของภาคใต้ อันประกอบด้วย พระบรมธาตุไชยา พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช และพระพุทธไสยาสน์ถ้ำคูหาภิมุขจังหวัดยะลา องค์พระบรมธาตุเป็นสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัยองค์เดียวที่ยังคงสภาพที่ดีที่สุด เข้าใจว่าสร้างในสมัยที่อาณาจักรศรีวิชัยเจริญรุ่งเรืองสูงสุด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตรรษที่ 13-14 ไม่ปรากฏประวัติของผู้สร้าง รอบองค์พระธาตุมีเจดีย์เล็กๆ 4 ทิศ ล้อมรอบด้วยวิหารคด ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ทั้ง 4 ด้าน นับเป็นปูชนียสถานทางพุทธศาสนาที่สำคัญของจังหวัดสุราษฎร์ธานี วัดพระบรมธาตุไชยาฯ ตั้งอยู่ที่ตำบลเวียง อำเภอไชยา จัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ภาพของเจดีย์พระบรมธาตุนี้เป็นสัญลักษณ์ในดวงตราประจำจังหวัด ในธงและผ้าพันคอลูกเสือ ซึ่งถือกันว่าหากนักท่องเที่ยวยังไม่ได้ไปนมัสการพระบรมธาตุไชยา ก็เหมือนยังไปไม่ถึงสุราษฎร์ธานีที่แท้จริง
เกาะพงัน
                                
                                               เกาะพะงัน เกาะอันมีชื่อเสียงอยู่ทางเหนือของเกาะสมุยประมาณ 30กม.เป็นเกาะแห่งความภาคภูมิใจของชาวสุราษฎร์ธานีที่ได้ถวายการต้อนรับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีถึง 4 พระองค์ นับจากรัชกาลที่ 5จนถึงรัชกาลปัจจุบัน เกาะพะงันแหล่งท่องเที่ยวกลางทะเลแห่งหนึ่งซึ่งนักเดินทางวางเป้าหมายไว้ว่าจะต้องไปให้ถึง ในบรรยากาศการพักผ่อนที่ค่อนข้างสงบ ความเขียวขจีของพืชพรรณความร่มรื่นของทิวไม้ริมชายหาด ความขาวของหาดทรายและความใสของน้ำทะเลเป็นเสน่ห์ที่ชวนหลงใหลของเกาะพะงัน บนเกาะพะงันมีที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่งเช่นน้ำตกธารเสด็จ เป็นน้ำตกที่รัชกาลที่5 ได้พระราชทานนามไว้ และเสด็จประพาสถึง 14 ครั้งสามารถไปได้ทั้งทางเรือและทางรถน้ำตกแพง เป็นน้ำตกที่สวยงามมีหลายชั้นเช่น แพงน้อย ธารน้ำรัก ธารกล้วยไม้มีน้ำตลอดทั้งปีแสดงถึงความสมบูรณ์ของผืนป่า มีทางเดินป่าไปยังโดมศิลาซึ่งเป็นจุดชมวิวและชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม ท้องศาลาคือชุมชนใหญ่ที่สุดของเกาะพะงัน เป็นศูนย์ธุรกิจการท่องเที่ยวและศูนย์การเดินทาง มีทั้งท่าเรือ บริษัทเรือ เรือและรถให้เช่า ร้านอาหาร ที่พัก และบริการแทบทุกชนิด

สถานที่ท่องเที่ยว สุราษฎร์ธานี

ถ้ำขมิ้น
            
                      ถ้ำขมิ้น ก่อนหน้านี้เคยเป็นถ้ำสัมปทานเก็บมูลค้างคาว จะเห็นได้จากการพบร่องรอยและอุปกรณ์ต่างๆที่ยังหลงเหลืออยู่ ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เป็นถ้ำใหญ่โตมโหฬารที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม และเป็นที่ศึกษาวิจัยทางด้านโบราณคดี ศาสนา ธรณีวิทยาและสัตววิทยา ถ้ำขมิ้น เป็นถ้ำประเภท solution cave ที่เกิดในภูเขาหินคาร์บอเนตและซัลเฟต โดยเกิดจากน้ำฝนและน้ำใต้ดินที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมกับไอออนของน้ำทำ ปฏิกริยากัน กลายเป็นกรดคาร์บอนิกอย่างอ่อนไหลผ่านตามรอยแตกของชั้นหินที่อยู่ใต้ดิน โดยจะละลายหินที่มีส่วนประกอบของแร่แคลไซต์ หรือแคลเซี่ยมคาร์บอเนตให้เป็นรอยแตกหรือรูโพรงกว้าง ซึ่งเมื่อวันเวลาผ่านไปรอยแตกก็จะกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นถ้ำในที่สุด
สวนโมกขพลาราม

                             สวนโมกขพลาราม สถานศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งในพุทธศาสนจักร กำเนิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502โดยท่านพุทธทาสภิกขุ ภิกษุผู้ประกาศตนขอเป็นทาสแห่งพุทธองค์ซึ่งได้ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกและทดลองปฏิบัติอย่างแน่วแน่จนก่อเกิดปัญญารู้แจ้งในพระธรรมคำสอนกระทั่งแยกแยะได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไรและหัวใจของคำสอนคืออะไรท่านพุทธทาสได้ใช้ความรู้ความเข้าใจที่ได้สร้างสรรค์เป็นคำสอนที่เข้าใจง่ายๆถ่ายทอดแก่พุทธศาสนิกชนทั้งยังเผยแพร่เป็นภาษาต่างๆและได้รับการยอมรับกันทั่วโลก
ภายในสวนโมกข์มีการจัดภูมิสถาปัติที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติสถาปัตยกรรม ปฏิมากรรม จิตรกรรมและวรรณกรรมทั้งหมดสอดรับกลมกลืนกับธรรมชาติและแสดงพุทธธรรมที่ลึกซึ้งแต่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ

ขนมหวานไทย 4





สูตรขนมหวานไทย : ขนมบ้าบิ่น


เครื่องปรุง + ส่วนผสม



ขนมหวานไทย : ขนมบ้าบิ่น

* หัวกะทิ 120 กรัม
* มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 100 กรัม
* แป้งมัน 40 กรัม
* แป้งข้าวเหนียว 80 กรัม
* น้ำตาลทราย 100 กรัม
* ไข่ไก่ (เฉพาะไข่แดง) 1 ฟอง
* ไข่ไก่ (ทั้งไข่ขาวและไข่แดง) 2 ฟอง

ขนมหวานไทย : ขนมบ้าบิ่น
วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. นำมะพร้าวทึนทึกขูดฝอยไปผสมกับ แป้งมัน, แป้งข้าวเหนียว, น้ำตาลทราย ผสมให้เข้ากัน
2. จากนั้นใส่ไข่ไก่ทั้งฟองและกะทิ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
3. ตักส่วนผสมเทใส่ถาด (หรือแบบที่เตรียมไว้) ควรทาน้ำมันบางๆที่ถาดเพื่อไม่ให้ขนมติดเมื่ออบเสร็จ จากนั้นจึงนำไปอบด้วยอุณหภูมิ ประมาณ 280 - 300 องศาเซลเซียสประมาณ 25 นาทีหรือจนสุกทั่ว
4. เมื่อขนมสุกแล้วนำออกมาแล้วทาด้วยไข่แดงที่หน้าขนม จากนั้นนำไปอบต่ออีกสักพัก จะได้ขนมที่มีหน้า เป็นสีน้ำตาล
5. เมื่ออบรอบสองแล้ว นำออกมาทิ้งไว้ให้เย็น ตัดเป็นชิ้นๆเสริฟรับประทานได้ทันที

ขนมหวานไทย 3



สูตรขนมหวานไทย : ฝอยทอง

เครื่องปรุง + ส่วนผสม

ขนมหวานไทย : ขนมฝอยทอง
* ไข่เป็ด 5 ฟอง
* ไข่ไก่ 5 ฟอง
* น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำลอยดอกมะลิ 1 1/2 ถ้วยตวง (หรือน้ำเปล่า)
* ไข่น้ำค้าง 2 ช้อนโต๊ะ(ไข่ขาวส่วนที่เป็นน้ำใสๆ ที่ติดอยู่กับเปลือกด้านป้าน)
* น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
* กรวยทองเหลืองหรือกรวยใบตอง (สำหรับโรยไข่ในกระทะ)
* ไม้แหลม (สำหรับตักและพับฝอยทองในกระทะ)
ขนมหวานไทย : ขนมฝอยทอง

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. ต่อยไข่ไก่และไข่เป็ด เลือกเอาเฉพาะไข่แดง นำออกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก
2. ผสมไข่แดง, ไข่น้ำค้างและน้ำมันพืชเข้าด้วยกัน คนจนผสมกันทั่ว
3. นำน้ำลอยดอกมะลิผสมกับน้ำตาลในกระทะทองเหลืองและนำไปตั้งไฟร้อนปานกลาง รอจนเดือด
4. นำส่วนผสมไข่แดงใส่ลงไปในกรวยและนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่สุกจึงใช้ไม้แหลม สอยขึ้นและพับให้เป็นแพตามต้องการ
5. จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างทางเล่นในวันสบายๆ

ขนมหวานไทย 2

สูตรขนมหวานไทย : สังขยาฟักทอง

เครื่องปรุง + ส่วนผสม

ขนมหวานไทย : สังขยาฟักทอง
* ฟักทอง 1 ลูก (น้ำหนักประมาณ 400 - 600 กรัม)
* ไข่่ 4 ฟอง
* หัวกะทิ 3/4 ถ้วยตวง
* น้ำตาลปิ๊บ 1/4 ถ้วยตวง
* แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ
* เกลือป่น 1/4 ช้่อนชา
* น้ำปูนใส
ฟักทองสด

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. นำฟักทองมาตัดออกเป็นสี่เหลี่ยมบริเวณหัวขั้วจากนั้นจึงขวักเมล็ดข้างในออก จนกลวงเป็นช่องภายใน จากนั้นจึงนำไปน้ำปูนใสประมาณ 8 - 10 นาที แล้วจึงนำออกมาสะเด็ดน้ำ (เคล็ดลับ : แช่น้ำปูนใสเพื่อไม่ให้ฟักทองแตกเวลานึ่ง)
2. ระหว่างรอฟักทองที่แช่ในน้ำปูนใส เตรียมทำสังขยาโดยผสมไข่ไก่, หัวกะทิ , แป้งข้าวเจ้า, น้ำตาลปิ๊บ และเกลือ คนจนส่วนผสมเข้ากันดี
3. นำส่วนผสมสังขยาที่ทำในขั้นตอนที่สองเทลงในฟักทอง จากนั้นจึงนำไปนึ่งประมาณ 20 - 25 นาที กรณีเสริฟเป็นลูกฟักทอง ก็นำฝาที่ตัดออกไปนึ่งด้วย ถ้าแบ่งเสริฟก็หั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อความสวยงามและน่ารับประทาน เวลาหั่นควรระวังไม่
ให้สังขยาเละ 

ขนมหวานไทย 1


สูตรขนมหวานไทย : ขนมน้ำดอกไม้

ขนมหวานไทย : ขนมน้ำดอกไม้
เครื่องปรุง + ส่วนผสม


* แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
* แป้งเท้ายายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำลอยดอกมะลิ 2 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วยตวง
* สีผสมอาหาร (ตามความชอบ)


วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. ผสมแป้งข้าวเจ้าและแป้งเท้ายายม่อม จากนั้นนำไปร่อนและพักทิ้งไว้
2. นำน้ำลอยดอกมะลิและน้ำตาลทรายไปตั้งในหม้อบนไฟอ่อนๆ คนจนผสมกันทั่วและน้ำตาลละลายดีจึงปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็น
3. นำน้ำเชื่อมและแป้งผสมกันทีละน้อย คนจนส่วนผสมเข้ากันดี จึงใส่สีผสมอาหารลงไป ควรผสมให้เป็นสีโทนอ่อนจะน่าร้บประทานมากกว่าสีเข้ม
4. นำแบบพิมพ์ที่ต้องการไปนึ่งให้ร้อนประมาณ 10 นาที จากนั้นจึงหยอดน้ำแป้งลงในแบบพิมพ์ที่ต้องการ แล้วนำไปนึ่งประมาณ 15
นาทีจนสุก ทิ้งไว้ให้เย็น แคะออกจากแบบ จัดใส่จานเสริฟ